loading
ลงทะเบียนนัด DEMO ออนไลน์
ธุรกิจโรงแรมถึงขั้นวิกฤต ไม่รอดแน่ถ้ารัฐฯ ยังช่วยไม่ตรงจุด แบกหนี้หลังแอ่นไปอีก 2 ปี
: 15 กรกฎาคม 2564 | :

ธุรกิจโรงแรมอ่วมวิกฤตโควิด-19 มาร่วม 16 เดือนแล้ว ทั้งยังต้องแบกภาระหนี้จากวิกฤตนี้ไปอีกอย่างน้อยกว่า 2 ปี กว่าการท่องเที่ยวจะฟื้นตัว ถ้ารัฐบาลช่วยไม่ตรงจุดก็ไม่รอด จะเหลือแค่เฉพาะรายใหญ่

ธุรกิจโรงแรมส่วนใหญ่เผชิญกับภาวะขาดทุนยาวนานถึง 16 เดือนแล้ว ตั้งแต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกแรก ต่อเนื่องระลอก 3 เมื่อเม.ย. 64 ซึ่งถึงวันนี้ยังควบคุมไม่ได้

รัฐบาลประกาศปิดภัตตาคาร ห้องประชุม และให้หลีกเลี่ยงการเดินทางอีกครั้ง โรงแรมในพื้นที่สีแดงและแดงเข้มไม่สามารถประกอบธุรกิจได้ รวมถึงการฉีดวัคซีนที่ล่าช้าในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะจังหวัดท่องเที่ยว

โรงแรมกำลังฝ่าวิกฤตหนักสุดอีกครั้งจนถึงสิ้นปี 64 และยังคงต้องแบกภาระหนี้ที่เกิดจากวิกฤตโควิดอีกอย่างน้อย 2 ปี กว่าสถานการณ์ท่องเที่ยวจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว

สอดคล้องกับการประเมินล่าสุดขององค์การการท่องเที่ยวโลก (UNWTO) ที่คาดว่าธุรกิจท่องเที่ยวของโลก จะยังไม่ฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 จนกว่าจะถึงปี 2566

ล่าสุดไทยแม้จะเริ่มนำร่องการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ภายใต้โครงการ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” ซึ่งก็ทำให้โรงแรมในภาคใต้มองการกลับมาเปิดกิจการอีกครั้งหลังไตรมาส 4 ของปีนี้ แต่ในภาพรวมของธุรกิจของโรงแรมทั่วประเทศก็ยังคงอยู่ในสภาวะย่ำแย่

จากการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พักแรมในเดือนมิ.ย. 64 โดยสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) พบว่าโรงแรมกว่า 41% ที่ยังคงเปิดกิจการอยู่ปกติ และเปิดบางส่วน กว่าครึ่งหนึ่งของโรงแรมที่เปิดกิจการอยู่ทั้งหมดยังมีรายได้กลับมาไม่ถึง 10% เมื่อเทียบสัดส่วนรายได้กับช่วงปกติก่อนเกิดโควิด

ขณะที่อัตราการเข้าพักเฉลี่ยของธุรกิจโรงแรมในไทยในเดือนมิ.ย. 64 แม้จะปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนพ.ย. 64 จาก 6% เป็น 10% แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำมาก โดยเฉพาะในภูมิภาคที่พึ่งพาการท่องเที่ยวสูง

ส่วนการคาดการณ์อัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั้งประเทศในเดือนก.ค. นี้ ก็น่าจะทรงตัวอยู่ที่ 12% ยกเว้นโรงแรมในภาคใต้ที่มองว่าสถานการณ์จะปรับดีขึ้นบ้าง ส่วนหนึ่งจากโครงการภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์

อีกทั้งกว่า 58% ของโรงแรมที่เปิดกิจการอยู่ มีสภาพคล่องลดลงมากกว่า 20% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนและมีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจได้ไม่เกิน 3 เดือน ซึ่งสัดส่วนของกลุ่มที่มีสภาพคล่องเพียงพอไม่ถึง 1 เดือน ค่อนข้างสูงที่ 26% กระจายอยู่ในทุกภูมิภาค และเป็นกลุ่มที่อัตราการเข้าพักเฉลี่ยต่ำกว่ากลุ่มอื่น

การเปิดประเทศก็อาจจะช่วยได้ในระดับหนึ่งในพื้นที่นำร่อง แต่หากโควิด-19 ระลอกนี้ยังไม่สามารถคุมได้และยังมียอดการติดเชื้อสูงเช่นนี้ การเปิดประเทศก็ยังไม่อาจคาดหวังนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้มากนัก โดยเฉพาะตลาดระยะใกล้

โดยเฉพาะจีน ที่เป็นตลาดหลักที่จะยังไม่สามารถขยับเข้าไทยได้ หรือแม้แต่การเจรจาจับคู่ด้านการท่องเที่ยวหรือ ทราเวล บับเบิ้ล กับประเทศต่าง อาทิ ฮ่องกง และเกาหลีใต้ ตอนนี้ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันจากยอดการติดเชื้อในไทยที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ขณะที่ไทยเที่ยวไทย ก็ไปต่อไม่ได้เช่นกัน

หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ธุรกิจที่มีสายป่านยาวเท่านั้นที่จะยังคงอยู่รอดเพื่อรอการท่องเที่ยวฟื้น แต่ธุรกิจส่วนใหญ่ที่มีสายป่านจำกัด และต้องแบกรับการขาดทุนมาร่วมปีกว่าแล้ว ถ้ายังไม่ได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐที่ตรงจุด ก็คงยากยืนต่อได้

เพราะที่ผ่านมาแม้รัฐบาลจะออกมาตรการสินเชื่อฟื้นฟูฯ แต่ก็พบว่ามีอุปสรรคด้านอัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่สูงเกินไป รวมถึงวงเงินสินเชื่อที่ได้รับไม่เพียงพอ และสถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการให้สินเชื่อค่อนข้างมาก

โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นลูกหนี้ใหม่ ส่วนโครงการพักทรัพย์ พักหนี้ ผู้ประกอบการ มองว่าสถาบันการเงินสร้างเงื่อนไข หรือกำหนดคุณสมบัติเพิ่มเติม ทำให้เข้าถึงมาตรการได้ยากขึ้น

สิ่งที่ผู้ประกอบการโรงแรมต้องการจริง ๆ คือมาตรการพักชำระเงินต้นหรือดอกเบี้ยเป็นการชั่วคราวช่วง 1-2 ปีของการฟื้นตัวของธุรกิจเป็นอันดับแรก

รองลงมา คือ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำโดยใช้การค้ำประกันระหว่างบุคคล หรือนิติบุคคลค้ำประกันแทนทรัพย์สิน และยกเว้นการพิจารณาเงื่อนไขตามระเบียบการกู้เงินของสถาบันการเงินปกติ ในวงเงิน 10,000 ล้านบาท

รวมถึงการสนับสนุนค่าจ้างพนักงานเดิม (Co-payment) โดยขอให้ภาครัฐช่วยจ่ายเงินเดือนพนักงานในสัดส่วนร้อยละ 50  ค่าจ้างพนักงานไม่เกิน 7,500 บาท  (เพดานสูงสุดของประกันสังคม เท่ากับ 15,000 บาท) ต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างต่ำ 6 เดือน เริ่มจากเดือนส.ค.นี้ เป็นต้นไป การจัดหาและกระจายวัคซีนให้เร็วกว่าที่เป็นอยู่

เว็บไซต์อ้างอิง : www.thansettakij.com
ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อน กับ LINE @FEASY

เรื่องน่าสนใจ